จาก Post ที่แล้ว ที่ว่าด้วยการรับรู้ปัญหา ว่าผมเองมีอาการเสพย์ติดอย่างจริงๆ จังๆ เข้าให้แล้ว Post นี้จะมาว่ากันต่อเรื่องแนวทางการแก้ไขครับ ซึ่งพยายามจะคิดในแบบที่ง่ายที่สุดและ Make Sense ที่สุด
- เริ่มจากการผลิตก่อน ผลิตให้น้อยที่สุด เพื่อที่เราจะหมกมุ่นอยู่กับมันได้น้อยที่สุด Wired Magazine ฉบับเดือนสิงหา 09 แนะนำไว้คร่าวๆ คือ 20 Tweets ต่อวัน ตัวเลขนี้ไม่มีที่มา แต่หากลองเทียบกับข้อมูลล่าสุดของผม 178 Tweets ใน 24 ชั่วโมง ก็ถือว่ามากกว่ากันเกือบ 900% ดังนันผมจึงขอให้เหลือ 18-20 Tweets ต่อวันก็พอ
- ลดเวลา จำกัดการเสพย์ ส่วนนีถือว่าสำคัญกว่าการผลิตเสียอีก เพราะเวลาส่วนใหญ่ของการใช้ Social Media ขึ้นอยู่กับส่วนนี้เลย แผนคร่าวๆ คือควรจะเปิดใช้งานมันไม่เกิน 3 ครั้ง คือเริ่มที่ 9 โมงเช้า 3 โมงเย็น และปิดท้ายที่ 3 ทุ่ม เวลารวมทั้งหมดไม่ควรเกิน 40 นาทีต่อวัน รวม Twitter + Facebook ด้วยนะ
- ลดจำนวนของ Following ลงไป โดยเน้นที่เราต้องการจะอ่านจริงๆ ก็จะช่วยให้เราอ่านได้อย่างเต็มที่มากขึ้น
- ทำการปิด Status อัพเดทไม่ให้แสดงใน Public Timeline การปิดมันทำให้มีโอกาสที่จะมีคนสื่อสารต่อกับเราน้อยลงไป ก็เป็นอีกวิธีที่ช่วยให้เราหมกมุ่นได้น้อยลง อย่างน้อยก็เป็นการลดจำนวนอีเมล์ที่คอยแจ้งว่ามีใครคอย Follow เราใหม่บ้าง (ปกติของผมมีวันละ 9-15 ราย แต่จะหายไป 6-7 รายในวันต่อมา เนื่องจากเราไม่ได้ Follow กลับ ลองคิดดูว่าจะช่วยลดปริมาณอีเมล์ได้แค่ไหน ถึงแม้จะเป็นเพียงเมล์่ “ผ่าน” ก็ตาม)
- นำซอฟต์แวร์ Client ออกไปให้พ้นตา ถ้ามี Shortcut บนเดสทอปให้ลบออก ถ้ามีบน Dock ให้เอาออก และจะเรียกใช้เมื่อถึงเวลาต้องใช้จริงๆ เท่านั้น
กฏง่ายๆ 5 ข้อนี้ ถ้าไม่ได้นำไปปฏิบัติจริงๆ ก็ไม่มีวันทำได้ วิธีการที่ได้ผลคือการจับเวลาจริง จับการใช้งานจริงๆ โดยปกติในฐานะ Freelancer ผมมีซอฟต์แวร์สำหรับจับเวลาด้วยรูปแบบต่างๆ ไม่น้อยกว่า 3 ตัวอยู่แล้ว และจำทำไปเรื่อยๆ จนกว่าพฤติกรรมเสพย์ติดจะหายไป หรือเลิกใช้ไปเลยก็ยิ่งดี เพราะก่อนหน้าที่จะมี Twitter ก็ใช้ชีวิตอยู่ได้สบายอยู่แล้ว (ดีกว่าอีกต่างหาก)
ถ้าคุณผู้อ่านตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน (เห็นพี่ @norsez แล้วหนึ่งราย) และต้องการเลิก Twitter เหมือนกัน ผมก็ขอเป็นกำลังใจให้ทำได้เช่นกันครับ ส่วนตัวผมนั้นก็ต้องการแรงใจอย่างยิ่งยวด ที่จะทำมันให้ได้เช่นกัน 😀
Twitter & I
ไหนๆ มาสารภาพกันแล้วว่าติด Twitter (หรือ Social Media อื่นๆ) ก็อยากเล่าให้ฟังถึงเบื้องหลังของตัวผู้เขียนเองบ้างว่ามีที่มาอย่างไร
- ตั้งแต่เร่ิมทำงานเมื่อ 6-7 ปีก่อน ก็เป็นงานที่มีลักษณะริเริ่มด้วยตัวเอง ไม่มีใครคอยสั่งงาน ดังนั้นเรื่องรับผิดชอบต่อการส่งงาน ต้องบอกว่ามีวินัยในระดับหนึ่งครับ แต่ช่วงเวลานี้ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ไม่เอาไหนที่สุด นับตั้งแต่ทำงานมาได้เลย (แต่ส่วนหนึ่งเกิดจากปัญหาเศรษฐกิจและการเบื่อในเนื้องานด้วย)
- เมื่อประมาณ 1-2 ปีก่อน ผู้เขียนเคยนั่งสังเกตการณ์ในร้านอินเตอร์เน็ตบนห้างหรูใจกลางกรุง พบว่าเกือบครึ่ง เปิดหน้า Facebook ค้างไว้เป็นชั่วโมงๆ โดยที่ไม่ได้เปลี่ยนไปไหน ขณะที่อีกครึ่งหนึ่งเล่นเกม พฤติกรรมเหล่านี้นั้น ถือว่าห่างไกลจากคนที่ชอบอ่านข่าวเข้าเว็บหลายๆที่อย่างผมมาก โดยที่ไม่ได้คิดว่าเราจะเป็นแบบนั้นในวันหนึ่ง
- ผมรู้จัก Twitter เมื่อสองปีก่อน หลังจาก Facebook ความรู้สึกแรกคือ มันไร้สาระมาก และใครที่บอกว่าติดมัน คงไร้สาระพอๆ กัน ผมเข้ามาเพียงเพื่อทำความรู้จักกับ “Trend” ใหม่ล่าสุดในตอนนั้นเท่านั้น และใช้มันในแบบที่แย่ที่สุดคือ “จดบันทึกสั้นๆ” (note taking)
- ผ่านไประยะเวลาหนึ่ง (ครึ่งปี) พบว่า เพื่อนๆในชีวิตจริง เริ่มใช้มันและมา Follow ทำให้ผมเริ่มกลับมาใช้มันอีกครั้ง ส่วนหนึ่งคือเป็นการทดลอง Twitter Client ที่ทำบนแพล๊ตฟอร์ม Adobe AIR ด้วย
- กลับมาใช้ใหม่ช่วงแรก ทวีตน้อยมาก วันละไม่เกิน 3-4 เท่านั้น และจะรับไม่ได้กับผู้ใช้บางคนที่ทวีตเยอะเกินไป เพราะจะอ่านทั้งหมด ทำให้ต้องเลิกตามหลายคนด้วยเหตุผลเรื่องทวีตอย่างเดียว เพราะส่วนใหญ่ทวีตสิ่งที่เราไม่อยากรับรู้ ไม่ว่าจะเป็นการแจ้งบอกว่าจะเข้าห้องน้ำ การดูทีวี จนไปถึงการบ่นในเรื่องลบต่างๆ
- พอเริ่ม Follow คนถึงหลักร้อย เริ่มมีความสนุกมากขึ้น ข่าวสารหลายๆ ข่าวอย่างการไฟไหม้ เครื่่องบินตก ทวิตเตอร์จะมาก่อนสื่ออื่นเสมอ ผู้คนเริ่มทวีิตแต่สิ่งน่าสนใจมากขึ้น
- เริ่มมีโทรศัพท์ที่สามารถเล่นทวิตเตอร์ได้ เริ่มเสียเงินซื้อ Twitter Client ทั้งที่ตัวฟรีดีๆ ก็มีมากมาย (แต่ลองแล้วไม่โดนใจ)
- เริ่มอ่านทวีตแทนการอ่านข่าว และโปรแกรมอ่านข่าวถูกเปิดน้อยลงทุกวัน สวนทางกับระยะเวลาบนทวิตเตอร์ที่มีมากขึ้น
- เริ่มค้นพบศักยภาพในการทำการตลาด หรือการค้นหาสิ่งที่เรากำลังสนใจแบบ Realtime ทำให้หลงคิดว่ามันสำคัญมาก (จากเดิมที่คิดกับมันในแง่ลบ) และค่อยๆ เสพย์ติดแบบกลายเป็นโปรแกรมเดียวที่ใช้บนมือถือ
- สลับกับช่วงเวลาที่ไม่รู้สึกอยากทวีตอะไรบ้างนานๆ ครั้้ง การได้รู้จักคนที่สนใจในเรื่องเดียวกัน นำพาให้เจอตัวจริงของเพื่อน พี่และน้องอีกหลายท่าน ปัจจุบันกลายเป็นทวิตเตอร์เว็บเดียว แทนที่ทุกอย่าง และเสพย์ติดจนต้องนำสู่การสารภาพ และวางแผนเพื่อเลิกมัน อย่างในโพสต์นี้นี่เอง 😀
เอาใจช่วยครับ กับการ ลด ละ เลิก ทวีต
@PKento ขอบคุณสำหรับกำลังใจครับ ปัจจุบัน ค้นพบแล้วว่าเลิกไม่ได้ แต่ลดมาเหลือ 40 ต่อวัน 😀
โอ้โห เพิ่งได้มาอ่านค่ะ …อ่านแล้วทำให้คิดว่า twitterทำให้เสพติดได้ขนาดนี้จริงๆเลยเหรอ (แต่ไม่กล้าที่จะปรามาสอานุภาพของsocial network หรอกนะคะ …เพราะเกรงว่าเราจะติดอยู่เหมือนกัน 555) แต่ก็ดีนะคะ ที่คุณเขียนได้เห็นภาพและพัฒนาการมากเลยทีเดียว เลยทำให้ตอนเล่นทวิตเตอรร์ตอนนี้ รู้สึกเหมือนกับว่า เหมือนตัวเองกินเครื่องดื่มชูกำลังยี่ห้อใดยี่ห้อหนึ่ง เข้าไปในปากหนึ่งอึก แล้วกำลังติดใจเหมือนว่าจะยกซดอีกรอบ แต่แล้วก็บังเอิญหันมาเห็นคำเตือนข้างขวดตัวเล็กๆว่า_ห้ามดื่มเกินวันละ2ขวดและโปรดอ่านคำเตือนบนฉลากก่อนดื่มทุกครั้ง… 555…ถ้าทวิตเตอร์เป็นเหมือนเครื่องดื่มชูกำลัง โพสต์อันนี้ก็คงเป็นฉลากคำเตือนแน่ๆ ….ห้ามทวิตเกินวันละ20ทวิต/วัน (เพราะถ้าติดทวิตเตอร์แล้วจะหาว่าเราไม่เตือน 555)อืมม โชคดีนะเนี่ยที่ได้อ่านฉลากคำเตือน ก่อนที่กำลังจะติดทวิตเตอร์พอดี 555
@dokpeep_ อิอิ ยินดีด้วยครับ ที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของคำเตือน 😛
วัยรุ่นสมัยนี้ติดกันงอมแงมจริงๆ ครับ เป็นเพราะสังคมเราทุกวันนี้มีกิจกรรมทางสังคมให้คนกลุ่มนี้น้อยเกินไป สังคมตัวใครตัวมัน ต่างคนต่างอยู่ พ่อแม่ก็ไม่ค่อยมีเวลาให้กับลูกๆ เพราะต้องวุ่นอยู่กับการทำมาหากินเพื่อสร้างรายได้มาใช้จ่ายในครอบครัว พอเด็กถูกโดดเดี่ยวก็หันเข้าหาสังคมออนไลน์ซึ่งมีทั้งความสนุกและความสะดวกสบาย และได้รับการยอมรับจากเพื่อนๆ ที่ออนไลน์ด้วยกัน ถ้าจะแก้ปัญหาคงต้องเริ่มที่ผู้ใหญ่ก่อนที่จะหากิจกรรมอะไรให้เด็กทำ จะมาบอกให้เด็กเลิกเล่นคงไม่ได้ผล เพราะถ้าเลิกเล่นแล้วไม่มีอะไรให้พวกเขาทำ ก็จะหันไปหาสังคมออนไลน์เหมือนเดิม
—– สาระน่ารู้รองเท้าแตะหูหนีบ