เดินทางเยอะ เพิ่งนึกได้ว่าหากลงบันทึกเอาไว้ อาจมีคนได้ประโยชน์จากมันอยู่บ้าง เพราะส่วนหนึ่งเราจ่ายภาษีความไม่รู้ (ภาษาชาวบ้านคือค่าโง่) ไปแล้ว
ขอบันทึกเป็น Outline และออกตัวว่าส่วนหนึ่งคือความรู้สึก อาจไม่ได้เกิดจากความรู้จริงๆ นะครับ
[FAG id=174740820]
ภาพรวม
• ถ้าจะมาทั้งเสิ่นเจิ้นและฮ่องกงพร้อมกัน ค่าเครื่องบินไปกลับเสิ่นเจิ้นถูกกว่า แต่ต้องเสียค่า Visa แบบ Double Entries เพื่อจะเข้าเมืองจีนสองครั้งคือครั้งแรกและอีกครั้งหลังจากกลับจากฮ่องกง
• วีซ่าแบบ Double Entries มีมูลค่า 2000 บาท แบบ Single 1000 บาท ลองคำนวณร่วมกับค่าเครื่องบิน และ Life Style ดูนะครับ
การจราจร
• เสิ่นเจิ้นมีรถใต้ดิน (Shezhen Metro) แต่ตอนที่ไปยังไม่เปิดใช้ช่วงสนามบินเข้าเมือง เลยเรียก Taxi เอา คันแรกเป็นคันหลอกนักท่องเที่ยวเรียก 250 หยวนจากสนามบินไป Louhu แหล่งช๊อปปิ้งและเป็นโรงแรมที่จอง คำนวณเสร็จพบว่าแพงมาก เลยเรียก Taxi ตรงจุดรับสนามบิน เบ็ดเสร็จ 155 หยวน ก็ยังถือว่าแพง แต่ก็เหมาะสมกับระยะทางและค่าทางด่วน
• ข้อดีของการนั่ง Taxi ขาไปคือได้เห็นความอลังการของ Shenzhen และ Taxi พาไปโรงแรมถูกที่ เพราะที่ลงไว้ใน google map คลาดเคลื่อนไปถึง 800m แม้ว่าถนนเดียวกัน แต่การแบกของเดินไปมาตอน 5 ทุ่ม ในเมืองที่พึ่งเคยมาครั้งแรก คงไม่ใช่เรื่องน่ายินดีเท่าไร
• รู้จัก Shenzhen แบบอนุบาลมาก พอมาจริงๆ ตกใจมาก เพราะตึกของเมืองมันเยอะจริงๆ ระยะทางจากสนามบินซึ่งอยู่ฝั่งตะวันตกถึงฝั่งตะวันออก มีแต่ตึกใหญ่ บางอันก็สวยสะดุดตา บางอันสีทองทั้งตึก
• อ่านจาก Wiki ถึงพบว่าเป็นหนึ่งในเมืองที่โตเร็วที่สุดในโลก เริ่มต้นจากหมู่บ้านเล็กๆ ปลายทศวรรษที่ 70 เท่านั้น ซึ่งถือว่าเริ่มหลังจากสิงคโปร์เสียอีก
• จุดประทับใจอันดับแรก ป้ายโฆษณาน้อยมาก เทียบกับทางด่วนบ้านเราไม่ได้เลย ทำให้เมืองดูสะอาดตามาก และแม้คนจีนจะมีขากถุยอยู่บ้าง แต่ก็ยังดูสะอาดพอๆ กับที่เห็นในสิงคโปร์ เกินคาดมาก
• มีร่องรอยการดูแลคนเทียบเท่าสิงคโปร์ เช่นฟุตบาทใหญ่ มีเนินสำหรับรถเข็น มีสะพานลอยใหญ่ และซับเวย์สำหรับคนเดินใต้ดิน
• จะสะพานลอยฟ้า หรือใต้ดิน ก็จะมีเนินขนานไปกับบันได ไม่ใช่ให้เด็กบอร์ดเล่น แต่เป็นที่สำหรับเข็นจักรยาน แต่ที่นี่ไม่มีจักรยานเยอะเหมือนปักกิ่งนะครับ
การสื่อสาร
• ที่เสิ่นเจิ้น คนพูดอังกฤษแทบไม่ได้เลย แต่โรงแรมส่วนใหญ่ที่มี Front Deck พนักงานพูดได้ดีครับ ตอนจองดูภาพ Front Deck พิจารณาประกอบจะช่วยตัดสินได้มาก
• โดยภาพรวม แม้จะมีข้อมูลภาษาอังกฤษอยู่บ้าง ป้ายจราจร หรือบน Google Map แต่โดยรวมเสิ่นเจิ้นยังไม่จัดว่าเป็นเมือง Tourist Friendly ในความคิดผมเท่าไร
• โรงแรมที่พักทั้งสองที่ใน Shenzhen จะมีเน็ตให้เล่นผ่าน Cable LAN แล้วเราก็ใช้วิธีแชร์ผ่าน WIFI จาก Laptop อีกที
• แต่ถึงจะเล่นเน็ตได้ แต่เล่น Facebook / Twitter ไม่ได้ นั่นจะมีความหมายอันใดอีก
• วิธีการทะลุทะลวงก็พอมีครับ ตั้งแต่ Proxy, VPN แต่ที่ผมใช้เล่นวันแรกๆ คือ Amazon Kindle
• เข้าใจว่า Amazon Kindle ทำสัญญากับ Operator ต่างๆ ให้ Data วิ่งไปที่ VPN ของเขาอีกที ทำให้เราเล่น Facebook, Twitter ได้
• กรณีใช้ iPhone ไม่มี Proxy, VPN ให้ใช้ Boxcar จะ push ข้อความมาให้ แล้ว Tweet-Reply ได้ เพียงแต่มันไม่ขึ้นมาทุกครั้ง
• The Great Firewall of China ไม่ได้มีผลแค่ Facebook กับ Twitter แต่ยังมีผลกับ Google (บางส่วน) Yahoo หรือแม้แต่ Foursquare ที่ผมใช้ในการหาสถานที่กินเที่ยว ยังใช้ไม่ได้
• แยกขาย Sim Card แบบ 2G เริ่มที่ 60 หยวน (x 4.6 เป็นไทยบาท) ส่วน 3G เริ่มต้นที่ 200 หยวน คำนวนแล้วพบว่าไม่คุ้มค่าการลงทุน
• Truemove คิดค่า Data Roaming แบบเหมาที่ 300 บาทต่อวัน เหตุผลทางเศรษฐกิจผมเลือกซื้อ Sim ใหม่ดีกว่า
• ส่วน Hong Kong เริ่มต้นที่ 69 ดอลลาร์ (x 3.9 หรือ 4 เป็นเงินบาทไทย) ใช้ได้แบบเหมาวันละ 29 ดอลลาร์ เป็น 3G ซึ่งแรงมาก แรงกว่าสิงคโปร์แบบน่าอายไปเลย
• Hong Kong มี Public Wifi อยู่หลายจุด แต่หลังจากลองเล่นหนึ่งวันแล้ว คิดว่าการเสี่ยงทายแบบนี้เสียเวลาและความรู้สึกเลยซื้อ Sim ดีกว่า
• การหาซื้อ microSim ทั้งเสิ่นเจิ้นและฮ่องกงสำหรับผม ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เพราะไม่ได้ทำการบ้าน แต่ถึงทำก็คิดว่าค่อนข้างยากสำหรับเมืองจีน แต่ Sim ทั่วไปหาซื้อง่ายมาก
• ถึงเมืองจีนให้มองหาร้าน China Mobile (ผู้เขียนหาที่สนามบินไม่เจอแต่เจอที่สถานีรถไฟหล่อวู Lo Wu) พวกเขามีคนตัดซิมให้ และให้ตั้งอินเตอร์เน็ตได้ แต่เบื้องต้นคือค่า APN คือ “cmnet” ผมไม่แน่ใจว่าต้องตั้งอะไรอย่างอื่นอีกหรือเปล่า
• ถึงฮ่องกงซื้อตามร้านมือถือ หรือร้าน “3” (Operator) บอกความต้องการได้เลย หากต้องการโทรไปต่างประเทศด้วย หรือใช้เน็ตอย่างเดียว พวกเขาตัดซิมให้ฟรีเช่นกัน
อาหาร
• อยู่เมืองไทย หากชอบอาหารกวางตุ้งอยู่แล้ว ที่นี่คือสวรรค์เลย ตั้งแต่บะหมี่หมูแดงเกี๊ยวกุ้ง ไปจนถึงเสี่ยวหลงเปา ตระกูล Dumping, Wanton, ลูกชิ้นเสียบไม้ ที่นี่คือต้นตำหรับ ที่แปลกมากว่ากินที่ไทยก็ไม่อร่อยเท่า อาจเพราะวัตถุดิบหรือเปล่าก็ไม่ทราบได้
• เท่าที่เห็น คนที่นี่ชอบกินลูกชิ้น หรือแป้งคล้ายๆ ก๊วยเตี๋ยวหลอดมาก โดยจะมีร้านแบบนี้ตามจุดต่างๆ แต่ละร้านคนไปนั่งกินเยอะ โดยเฉพาะสาวๆ ถ้าเทียบกับเมืองไทยคือความฮิตระดับเดียวกับส้มตำ
• ส่วนก๊่วยเตี๋ยว จะเป็นเส้นคล้ายอุด้งของญี่ปุ่น น้ำซุปเข้มข้น มีถั่วลิส่งแล้วใส่หมูหรือใส่อะไรตามใจชอบ อร่อยมาก แต่กินเส้นไม่เคยหมด
• คนที่นี่ จริงใจกับอาหารมาก คือให้แบบจัดเต็ม ข้าวเยอะ กินอิ่มได้ในจานเดียว และอร่อยมากทุกจานทุกอย่าง
• ข้อเสียที่พบคือคนที่นี่จับจานอาหารแบบเสี่ยงต่อนิ้วลงไปในซุปน้ำ พบมากที่ฮ่องกง และดูเหมือนภาชนะที่ฮ่องกงจะดูลวกๆ กว่าเสิ่นเจิ้นเสียอีก เช่นวางจาน ชาม ช้อนบนโต๊ะ และดูเหมือนพึ่งล้างเสร็จหมาดๆ ในเสิ่นเจิ้นดูจะสะอาดกว่า บางร้านถึงกับมีถุงพลาสติกหุ้มชุดภาชนะไว้ก่อนกินเลยทีเดียว
• ค่าอาหารเสิ่นเจิ้นนั้นใกล้เคียงกับไทยมากครับคือประมาณ 0.8 ถึง 1.5 เท่าของราคาอาหารที่เมืองไทย แต่คุณภาพและความพอใจสูงกว่า 2 ถึง 3 เท่า ส่วนฮ่องกง 1.5 ถึง 3 เท่า คุณภาพสูงเช่นกัน ยกเว้นกระบวนการกินนะ – -“
• ผักสดและสวยมาก (ใครบางคนกำลังคิดถึงกระบวนการเพาะปลูก – -“) ซึ่งไม่แน่ใจว่านี่อาจเป็นเหตุผลที่สาวๆ ที่นี่ผิวดีกันหรือเปล่า ส่วนผักของไทย ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าเราปลูกไม่ได้ขนาดนี้ หรือเราส่งออกผักคุณภาพดีๆ ออกไปหมดแล้ว
• ที่เสิ่นเจิ้นเบียร์นอกราคาใกล้เคียงเมืองไทย แต่เบียร์ท้องถิ่นถูกมาก ไม่ถึง 15 บาทก็หาซื้อได้ ส่วนที่ฮ่องกงเบียร์ก็ไม่แพงนัก แต่เน้นขายกระป๋องยาว 2 กระป๋องแค่ 13 ดอลลาร์ สำหรับอาซาฮี เอ้ นี่มันถูกกว่าเมืองไทยอีกนี่!! แต่น้ำดื่มฮ่องกงแพงจริงและโรงแรมไม่เคยแถมให้
โรงแรมและสิ่งปลูกสร้าง
• โรงแรมที่เสิ่นเจิ้นมีคุณภาพต่อราคาสูงมาก น่าจะใกล้เคียงที่กรุงเทพหรือถูกกว่าแบบสูสี ขณะที่ฮ่องกงอย่างที่รู้กัน น่าจะแพงกว่า 2-3 เท่า และห้องส่วนใหญ่จะเล็กๆ อยากเทียบความเล็กกับโตเกียวมาก
• ทั้งเสิ่นเจิ้นกับฮ่องกง มีตึกสวย ใหญ่ และน่าทึ่งพอกัน แต่ฮ่องกงอาจมากกว่าเพราะเป็นเมืองเก่าและได้เปรียบทางภูมิทัศน์ มีตึกบนภูเขาและริมอ่าว
• ความที่ฮ่องกงยิ่งใหญ่มาก่อนที่เสิ่นเจิ้นจะสร้าง ตึกเลยดูเก่าเยอะมาก หลายตึก แต่ที่เหมือนกันคือหลายๆ ตึกแม้จะเก่า แต่ด้านล่างก็พัฒนาเป็นร้านค้าสวยๆ ส่วนด้านบนมีสภาพอยู่กันแออัดแบบชาวจีน
• ความน่าทึ่งของเสิ่นเจิ้นคือการเติบโต ส่วนฮ่องกงคือการสร้างตึกสูงบนหุบเขา
ช้อปปิ้ง
• แหล่งช๊อปใหญ่อย่างในเขต Dongmen นั้น น่าจะเป็นพ่อของประตูน้ำ Platinum ได้เลย เพราะรูปแบบเหมือนมาก แต่กว้างกว่าและมีหลายตึก ร้านก็เยอะมาก!!
• เสิ่นเจิ้นมีช๊อปของ Brand หรูครบ ไม่แพ้ฮ่องกง และยังมี Department Store ระดับบนขึ้นมาอีก
• ฮ่องกงคงไม่ต้องบรรยายอะไรมาก เมื่อทั้งเกาะและคาบสมุทรเกาลูนเต็มไปด้วยช๊อป ตั้งแต่ไฮแบรนด์ไปจนถึงของราคาถูกจากจีน
• ผมยังไม่รู้แหล่งขายส่ง ของที่เสิ่นเจิ้นนั้นต้องเซียนมาก ต่อรองเก่ง และราคาอาจไม่ถูกกว่าแพลทตินั่มมากอย่างที่คิด คงต้องทำการบ้านหรือหาแหล่งขายที่ตรง ถ้าจะทำธุรกิจแฟชั่น
• เทรนด์แฟชั่นไปจนถึงของกินเช่นชารสชาติใหม่ ดูเหมือนต้นน้ำจะมาจากไต้หวัน ไม่ใช่ฮ่องกง เข้าใจว่าไต้หวันน่าจะอำนวยต่อการผลิตวัฒนธรรมมากกว่าฮ่องกง อยากรู้อะไรจะเข้าจีน ให้ดูไต้หวันก่อน
• น่าสงสัยว่าที่ฮ่องกงเคยเป็นแหล่งผลิตหนังระดับฮอลลิวูดเอเชีย ตอนนี้ไม่ค่อยเหลือร่องรอยเหล่านั้น นอกจากความทรงจำเกี่ยวกับถนนหนทาง รถสปอต และ Taxi
• Taxi ในฮ่องกงเก่ามาก และไม่เคยเปลี่ยนจากที่เห็นในหนังเมื่อ 20 ปีก่อน
• และแม้จะเป็นเมืองปลอดภาษี แต่ Brandname ในฮ่องกงดูเหมือนจะไม่ได้ถูกกว่าเมืองไทยเท่าไร
• ส่วนสินค้าจาก Apple ถูกกว่านิดหน่อยเท่านั้น ยกเว้นพวกที่ราคาสูงๆ อย่าง Laptop ซื้อฮ่องกงถูกกว่าแน่
เทคโนโลยีและ Gadget
• ที่จีนใช้ Power Socket ทั้งแบบ Australia และแบบบ้านเรา ไม่รู้ว่าเริ่มต้นมายังไง ถึงใช้ทั้งสองแบบ
• ส่วนฮ่องกง แน่นอนว่าใช้แบบอังกฤษ
• มีของที่น่าสนใจสองอย่างคือ Tablet PC ที่หน้าตาเหมือน iPad มีขนาด 7 นิ้วและรันแอนดรอยด์ กับโปรเจกเตอร์มือถือ
• แต่ผู้เขียนถอยมาหนึ่งอย่างคือ AR Drone ถูกกว่าเมืองไทยราว 3000 บาท และคิดเป็นส่วนลด 25% ของราคาขายเมืองไทย
• ที่เสิ่นเจิ้นใช้ป้าย LED และมีจอ LED เยอะมากในร้านค้าที่ตกแต่งใหม่ ฮ่องกงคงไม่ต้องอธิบายมาก ทำให้ผมอยากทำธุรกิจอะไรที่เกี่ยวกับ LED เลย เช่น Content ที่เล่นบนนั้น
• ฮ่องกง ไอโฟน ฮิตมากๆ เหมือนสิงคโปร์ ส่วนเสิ่นเจิ้น มีใช้ Smartphone กันเป็นบางส่วนและคละแบรนด์ และมีแม่ค้าขายของมาถามว่าซื้อไอโฟนมาเท่าไร อาจเป็นไปได้ว่าจีนมีขายไอโฟนเฉพาะรุ่น Wifi เลยทำให้มันดูแปลกๆ ไม่ฮิต ส่วน iPad ผู้เขียนเห็นมีคนใช้รุ่น 3G อยู่บ้าง สังเกตตอนที่ไปหาซื้อ Sim มีผู้ถือมาซื้อ Sim พร้อมๆ กัน
Lifestyle
• สุ่มคุยการเมืองกับคนจีนทั่วไปที่พูดภาษาอังกฤษได้ พวกเขาจะไม่คิดอะไร นอกจาก to make a living สงสัยจีนประสบผลสำเร็จในการสร้างสลิ่มจำนวนมหาศาล
• ดูเหมือนจะน้อยกว่า 10% ที่พูดภาษาอังกฤษได้ ฮ่องกงพูดได้ดีกว่า แต่ก็ไม่เท่าสิงคโปร์
• ที่เสิ่นเจิ้นและฮ่องกงยังมีคนเล่นเกมอาเขตอยู่ -‘-
ภาคผนวก
• สาวจีนอย่างที่รู้กันว่าอาจไม่ได้สวยมาก แม้จะได้ขาว ขณะที่ฮ่องกงอาจมีหน้าตาดีกว่า เป็นเหตุผลเรื่องของความ Sophisticated ของคนเมือง
• สาวจีน คัพ C อยู่ได้ คัพ B อยู่ยาก 😛