เมื่อวานนี้ได้ทวีตเกี่ยวกับปรัชญา “Used it without Using” ที่หมายความว่าการ “ใช้งานสิ่งใดๆ โดยที่ไม่ได้มีสำนึกว่ากำลังใช้มัน” เปรียบเหมือนการที่เราใช้อวัยวะต่างๆ ของร่างกาย เราสั่งตรงจากสมองสู่อวัยวะนั้นที่เราสามารถบังคับนิ้วมือของเราพิมพ์ดีดข้อความนี้อยู่โดยไม่ได้รู้สึกว่าเรากำลัง “ใช้นิ้ว” หรือจะพูดให้ฟังดูไกลตัวออกมาอีกนิด…
ทำไมเราจึงให้คุณค่ากับสิ่งนี้? ก็เพราะว่ามันช่วย Bypass ความคิดของเราส่งตรงสู่ผลลัพธ์มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ (Productivity) โดยไม่ต้องให้เราเสียความคิด (Distraction) ไปกับสื่อกลางหรือเครื่องมือของเรา นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมผมถึง Outsource เครื่องมือแทบทุกอย่างไปที่บริษัทเดียวอย่าง Apple ก็เพราะว่าพวกเขาตอบโจทย์เดียวกันนี้ ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ
ในฐานะคนที่ถอด Ego ออกจากร่างไปจนเกือบหมดสิ้น ถอดความเป็นสาวกของสรรพสิ่งแทบไม่เหลือ ผมใช้ผลิตภัณฑ์ของ Apple ด้วยเหตุผลทางด้าน Productivity และ Economy ล้วนๆ บางคนอาจสงสัยว่าราคาสินค้าของ Apple นี่ “Economy” ตรงไหน
ผมก็อยากให้ลิสต์รายการสินค้าแบบ Head to Head ตั้งแต่ Laptop ไปจนถึง Smartphone ว่าที่ “ราคา” เท่ากัน มีผู้ผลิตรายไหนให้สินค้าที่มีคุณภาพได้เท่ากันบ้าง?
ยังมี Laptop บางรุ่นที่ราคาสูงกว่า MacBook Pro เช่น Alienware มีมือถือที่แพงกว่า iPhone อย่าง Nokia Vertu ซึ่งผู้เขียนก็พบว่าต่อให้มีราคาเท่ากัน “ไม่คุ้มพอ” ที่จะซื้อ
ในฐานะ Smartphone มือถืออย่าง iPhone เองก็ยังห่างไกลกับคำว่าสมบูรณ์แบบ และเต็มไปด้วยข้อบกพร่องถ้าไปเทียบกับเรื่อง “ฟังก์ชัน” หรือ “Usability บางอย่าง” กับผู้ผลิตรายอื่น แต่โดยส่วนตัวแล้วผู้เขียนให้น้ำหนักกับเรื่องอื่นๆ อย่าง “Used it without using” ไปจนถึง “Aesthetically Pleasure” ด้วย ซึ่งก็ยังหาอันที่เทียบกันไม่เจอ
รายละเอียดเล็กๆ น้อยแค่การนำชื่อผู้ผลิตไปประทับตราบนตำแหน่งที่สำคัญมากอย่างด้านบนของจอภาพ ก็ทำให้การใช้งานมัน Distract ไประดับหนึ่งแล้ว นี่คือสิ่งนี้ผู้เขียนค้นพบกับตัวเองจากการใช้งาน Kindle ที่เพิ่งซื้อมาเพียง 3 สัปดาห์
ในฐานะผู้ที่อยากให้โลกนี้เป็นประชาธิปไตยแท้ (สังคมนิยม) ก็ย่อมไม่อยากให้องค์กรใดๆ ผูกขาดการค้า และถ้าวันนึง มีผู้ผลิตรายใด นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ให้ทั้ง
Productivity และ Economy
Usability และ Aesthetically ไปพร้อมๆ กัน
ผู้เขียนเอง…ก็ไม่รีรอที่จะพิจารณาการนำมาใช้เช่นกัน