การ Transition จาก System A ไป System B นั้น หลีกเลี่ยงความเจ็บปวดได้อย่างยากยิ่ง
เป็นวาบความคิดที่ผ่านเข้ามา ในระหว่าง “ความเจ็บปวด” ของผู้เขียน ในการเปลี่ยนระบบเว็บให้กับลูกค้า ค่าตอบแทนที่เราได้มานั้นคือ “ค่ายาแก้ปวด” ของลูกค้า และวิธีลดความเจ็บปวดของเราคือการ “แตกกระบวนการทั้งหมด” ออกเป็น “งานย่อย” แม้ว่าจะมี “ปัจจัย X” จากสิ่งที่เราคาดไม่ถึง ไม่รู้เท่าทัน หรือรู้ไม่รอบ ก็ถือเป็นความเจ็บปวดที่เราต้องแบกรับเอาไว้
ขณะที่มองไปเรื่องรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นการอัพเกรดระบบปฏิบัตการตัวใหม่ ก็มีโอกาสสูงที่จะมีซอฟต์แวร์บางตัวไม่สามารถใช้ได้ หรือมีข้อผิดพลาดที่คาดเดาไม่ได้จากตัวระบบใหม่เอง
การเปลี่ยนรุ่นของโทรศัพท์มือถือของผมจาก iPhone 3G -> 3Gs ต้องพบความเจ็บปวดในการแบกรับเบอร์ใหม่ที่ต้องเปิดเพิ่ม โดยที่เราไม่สามารถใช้เบอร์เก่าจากผู้ให้บริการเดียวกันได้ ความเจ็บปวดจากคุณภาพของเสียงที่ลดลงจากผู้ให้บริการที่เราทราบกันดี และความเจ็บปวดจากคนที่ได้รับเครื่องต่อจากผม โดยโทรศัพท์นั้นใช้งาน EDGE หลายร้อยนาทีภายในวันเดียว แม้ว่าเราจะทำการปิดและไม่สามารถเชื่อมต่อเว็บได้แล้ว (เรื่องนี้ผู้ให้บริการอย่าง AIS ทำได้ดีที่สุดคือรับผิดชอบค่าใช้จ่ายให้ครึ่งหนึ่ง ซึ่งจนถึงป่านนี้ ผมยังหาคำตอบไม่ได้ว่าทำไม “ระบบ” ถึงแอบใช้งานโดยที่ผู้ใช้เองก็ไม่ได้รู้ตัวและใช้ประโยชน์จากมันไม่ได้เลย ใครใช้โทรศัพท์อย่างไอโฟน โปรดเช็ค Plan ของตัวเองให้ดีโดยเฉพาะเรื่องของ EDGE นะครับ)
หรืออย่างกรณีที่ “ทุกคนได้รับความเจ็บปวดร่วมกัน” (แต่ไม่เท่ากัน) คือ การเมืองไทยที่กำลังเป็นอยู่ ณ ตอนนี้ ในฐานะพลเมืองคนหนึ่ง ที่ไม่มีบทบาทอะไร ก็ขอให้ช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านนี้จบโดยเร็ว และ “เจ็บปวด” ให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ดูหนังต่างประเทศแล้วมักจะมีคำพูดประมาณนี้ที่ได้ยินบ่อยๆ และผมชอบมากๆ
“It’s smooth, It’s fast, it’s silence & effective.”
หรือไม่ก็ “เรียนรู้ที่จะอยู่กับความเจ็บปวดให้มีความสุข” ฟังดู Macochism จัง 😛
// ถึงตอนนี้แล้ว ก็อยากฟังประสบการณ์ความเจ็บปวดจากการเปลี่ยนผ่านระบบ เพื่อเป็นบทเรียนสำคัญในการ “ลดความเจ็บปวด” ในคราวต่อไปด้วยนะครับ 😀
จะยอมไม่ยอม จะช้าจะเร็ว ก็ต้องเปลี่ยนครับ ยิ่งซื้อเวลา ยิ่งเจ็บ RT @rathwjj: @phz ปัญหาคือ มีคนไม่ยอมเปลี่ยน ด้วยซิครับ
อ่านจั่วหัวแล้ว คิดไปถึงเรื่อง…เลย อิ อิ คุณ Phz เข้าใจโยงเรื่องจริงๆ ^^ เข้าเรื่อง…ที่จริงแล้วคนเราเจอการเปลี่ยนแปลงทุกๆวัน อยู่แล้ว ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามในทรรศนะของผม จึงมองอยู่ที่ว่า ถ้าคิดจะเปลี่ยน ศึกษา วางแผนให้ดี ก็จะเหนื่อยน้อยลง แล้วก็ปัญหาก็จะไม่ใช่เรื่องปวดหัวแล้ว แต่เป็นการค้นหาสิ่งใหม่ๆ เป็นความท้าทายและเป็นเครื่องสอบตัวเอง ว่าเรายังพลาดอะไร มีอะไรไม่รอบคอบบ้างมากกว่ายกตัวอย่างเช่นการเปลี่ยนจาก Leo เป็น Snow วางแผนให้ดี Backup งานให้เรียบร้อย ศึกษาว่า app ไหนที่เราใช้บ่อยทำงานใน OS ใหม่ได้ไหม ยังเหลือ bug อะไรที่ critical บ้างถ้าไม่มี ก็ลุยไปเลย(แต่ลองนำ HDD สำรองมาลงก่อน) ผมใช้ Snow บน HDD สำรองสักพักก็มีเรื่องที่ไม่รอบคอบเหมือนกัน ก็แก้ใขจน ไม่เจออะไรน่าเป็นห่วง เลยถอดออกนำ HDD หลักมาใช้งานต่อ หลังจากนั้นก็ไม่มีปัญหาอีกเลย ^^ส่วนเรื่องนั้น…….ผมคิดซะว่ามี factor ที่เรา control ไม่ได้อยู่อีกหน่ึงตัว ผมสนเฉพาะส่วนที่ผมคุมได้ และก็พยายามทำให้มันดี ก็เท่านั้นเองครับ ^^ปล. คิดไปก็นึกถึง blog " โลกที่ไม่มีวันเหมือนเดิม | mash http://ow.ly/qkPa "ที่เพ่ิงเขียน อาจจะเพราะผมเปลี่ยนงานบ่อยด้วยมั๊งครับ เลยไม่ค่อยกลัวกับการเปลี่ยนแปลงแล้ว 😛
@adct2luv เจ๋งเลยครับ ที่มองทะลุได้ขนาดนี้ จุดประสงค์ของเรื่องนี้ คือเรายอมรับการเปลี่ยนแปลงได้ เพียงแต่ต้องคิดถึงปัจจัยต่างๆ ให้ครบ เพื่อลดความเจ็บปวดให้น้อยที่สุด แต่ในความจริง ผมก็พบว่าเราเรียนรู้เท่าไร ก็ไม่เคยพอเสียที ยิ่งระบบใหญ่และซับซ้อนมากๆ เท่าไร ยิ่งมีปัจจัยเสริมเยอะมาก และมากกว่ามุมมองของคนหนึ่งคนจะมองได้ครอบน่ะครับ 😀
อ่า…ยังหรอกครับ ยังต้องฝึกปรืออีกเยอะ ^^และยินดีที่ได้ร่วมสนทนาด้วยครับ ^^
มัันถือเป็นความเจ็บปวดหรือความไม่คุ้นเคยครับ ปกติมนุษย์จะไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง อย่างเช่นเนื้อหาที่ @Phz เขียนผมสรุปเองได้เป็นข้อๆ ดังนี้1. คนเราเป็นทุกข์เพราะความไม่รู้ ชอบมีคำพูดว่า รู้อย่างงี้ไม่ทำดีกว่า 2. เวลาคนเราอยากได้อะไรมัก ไม่มีเหตุผล และลืมตรวจสอบให้ดี อ้าวทำนั่นไม่ได้ ทำนี่ไม่ได้นี่หว่า ถึงแม้จะดูให้ดีแล้ว แต่ความอยากมันบังตาครับ3. อย่างน้ิอยการเปลี่ยนแปลงมันก็ทำให้เราได้เรียนรู้อะไรอีกหลายอย่างไม่ใช่หรือครับ ว่าสิ่งที่เราทำอยู่มันดีขึ้นหรือแย่ลง การเปลี่ยนแปลง=ประสบการณ์4. อย่างน้อยให้คิดเสมอว่า ฉันเลือกของฉันเองไม่มีใครบังคับ ดังนั้นจึงต้องรับสภาพเอง :)5. แรกๆมันก็เจ็บ นะ แต่พอถึงจุดมันก็มีความสุข คราวนี้โหยหาความสุขจากความเจ็บปวดเลยทีเดียวมันเข้ากัน ไหมนี่แต่ละข้อ โฉบมาแค่นี้ครับ กาแฟหมด ทำงานต่อ 🙂
@yordja โอ้ ขอบคุณที่แชร์ความเห็นมาครับ อ่านแล้วเข้าใจและเห็นด้วยเลย ส่วนตัวแล้วคิดว่า คนที่มองโลกในแง่ดี ไม่ใช่เพราะเค้ามองด้านเดียว แต่เพราะเค้าเรียนรู้ที่จะอยู่กับสิ่งที่ (ผม) เรียกว่า "ความเจ็บปวด" (Pain) และก็กลายเป็นมองเห็นข้อดีของมันได้ ยกตัวอย่างง่ายๆ "การจัดห้องใหม่" คือการเปลี่ยนแปลงที่ทุกคนต้องบอกว่า "เหนื่อย" แต่ถ้าเราวางแผนจัดการดีๆ และสนุกกับมัน ก็อาจกลายเป็นความสุขตั้งแต่ในกระบวนการ ไปจนถึงผลลัพธ์ที่สำเร็จแล้วได้เลย :Pปล. ตอนนี้ iphone เครื่องใหม่ ผมยัง jailbreak ไม่ได้ "เจ็บปวด" จริงๆ 😛