อีกหนึ่งบุคคลในดวงใจ ที่ผมค่อยๆ ทำความรู้จักมากขึ้นเรื่อยๆ ในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา นับจากปาถกฐาที่ LA ผ่านงานเขียน ผ่านการปราศัยต่างๆ มีเพียงสองคำที่อยากจะเอ่ยถึงคนคนนี้
“แมนและแหลมคม”
โดย จักรภพ เพ็ญแข
ที่มา คอลัมน์ “ผมเป็นข้าราษฎร” หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์วิวาทะ Thai Red News ปีที่ 1 ฉบับที่ 29
19 ธันวาคม 2552
ที่มา คอลัมน์ “ผมเป็นข้าราษฎร” หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์วิวาทะ Thai Red News ปีที่ 1 ฉบับที่ 29
19 ธันวาคม 2552
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เคยเอ่ยอย่างกร้าวๆ ในข้อเขียนของท่านครั้งหนึ่งว่า “ความเงียบของพระโพธิสัตว์มัญชุศรี ย่อมดังยิ่งกว่าฟ้าผ่า”
แปลว่าความเงียบของตัวท่านมีความหมายมากกว่าสุญญากาศ คุณคึกฤทธิ์จะเป็นพระโพธิสัตว์หรือไม่ก็ช่างคุณคึกฤทธิ์ ไปบาปกรรมกันเอาเองเถิด แต่ประเด็นที่จุดขึ้นมานานหลายปีแล้วนั้น น่าสนใจและมีความสัมพันธ์กับสถานการณ์ของประเทศในปัจจุบันเป็นอันมาก นั่นคือเรื่องของความเงียบ ตั้งแต่เริ่มเดือนธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๒ เป็นต้นมา เชื่อว่าคนไทยที่ยังรักและใส่ใจกับเมืองไทยต่างก็หวังว่าจะได้ยินได้ฟัง สัญญาณบางอย่างที่แสดงถึงความสมานฉันท์ ตามจริตแต่เดิมที่มั่นใจว่าเมืองไทยย่อมมีทางออกอย่างไทย บางคนยังประทับภาพเหตุการณ์ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๓๕ ไว้ชัดเจนในสมองและความทรงจำจนยากที่คิดเป็นอื่นได้ ถึงในใจจะเริ่มตระหนักว่าสะพานที่เคยข้ามไปมาเหนือสายนทีที่เชี่ยวกราก บัดนี้กลายเป็นสะพานที่ชำรุดและมีป้ายมาแขวนคล้องว่าปิดซ่อมให้ใช้ทางเบี่ยง แทนก็ตามทีเถิด ผู้คนก็ยังมองสะพานนั้นด้วยความหวังว่าวันหนึ่งจะเปิดใช้บริการเหมือนที่ คุ้นเคยมานาน ในที่สุดสะพานนั้นก็เปิดจริงๆ แต่เปิดเพียงชั่วครู่แล้วก็ปิดลงดังเดิม ผู้ที่ได้รับเชิญข้ามไปได้มีเพียงหยิบมือเดียว คือใครก็ตามที่ไม่ใช่ปวงชนชาวไทยทั้งประเทศ แต่เป็นมนุษย์มหัศจรรย์ที่หาสะพานข้ามไปไม่ได้แกก็เหาะข้ามไปอยู่ดี เพราะแกเป็นคนพิเศษ ประชาชนเต็มขั้นไม่ได้ข้ามไปเลยแม้แต่คนเดียว งานที่เคยเชิญเขาก็งด และงานที่ไม่งดเขาก็ไม่เชิญ ตอนแรกก็ใบ้รับประทาน เวลาผ่านไปในราวสามนาทีเศษ ประชาชนชาวไทยก็เริ่มรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น และเริ่มรำพึงกับตัวเองว่าคงจะไม่มีอะไรอีกแล้ว ตอนหลังจึงเกิดสติระลึกรู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นในเมืองไทยขณะนี้ รู้จนสรุปได้ในบัดนี้ว่า ความรู้สึกนึกคิดและจิตใจของตนและคนอีกนับล้านหรืออาจจะหลายสิบล้าน ไม่ได้มีค่าหรือราคาใดๆ เลย ความชอกช้ำและหยาดน้ำตาที่ไหลต่อเนื่องมาสามปีเต็มๆ ก็เป็นน้ำประปาที่ไหลล้างท่อสำหรับคนที่มองแล้วก็ผ่านเลยเหมือนช่างประปา ซ่อมท่อ ไม่ควรค่าแก่ความใส่ใจในทุกกรณี นี่พูดสำหรับคนที่ยังหวังและยังคาดหมายอะไรแบบนี้อยู่ ส่วนคนที่รู้แล้วและเลิกหวังไปนานแล้วนั้นก็ได้แต่เวทนาคนที่เขาได้รับผลกระ ทบทางใจจากงานนี้ ส่วนตัวเองนึกสบายใจว่าดี จะได้รู้กันสักทีว่าอะไรเป็นอะไร และใครอยู่เบื้องหลังกลียุคของบ้านเมืองที่เริ่มต้นมาจากความวิตกจริต ความหมั่นไส้ และความริษยาอาฆาต จะได้เลิกบนบานศาลกล่าวกันเสียบ้าง นอกจากจะไม่มีประโยชน์โภชย์ผลใดๆ ทำพึมพำเสียงดังจนเกินไปเขาจะมาจับตัวไปริบราชบาตรและเผชิญกับราชทัณฑ์เสีย อีก เมืองไทยของเรานี้ย้อนหลังกลับราวครึ่งศตวรรษ จะพบว่าเราแบ่งออกได้เป็น ๒ ยุคใหญ่คือ ๑. ยุคแห่งศรัทธา เชื่อมั่น และหลงใหล
๒. ยุคที่ตื่นจากความหลับใหลอันยาวนาน ผมถือว่าเดือนธันวาคมแห่งปีพุทธศักราช ๒๕๕๒ เป็นการประกาศเปลี่ยนจากยุคแรกมาเป็นยุคที่สองด้วยเสียงเงียบอันดังกัมปนาท เสียยิ่งกว่าความเงียบของพระโพธิสัตว์มัญชุศรี เพราะเงียบจนสมองหมุนและเงียบจนฟังอะไรไม่ได้ยิน เว้น แต่คำเตือนของคณะราษฎรเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๕ ที่หลายคนพยายามลบไปจากความทรงจำด้วยความขลาดเขลา และเป็นความเงียบที่ต่อยอดความจริงที่คนข้างในเขารู้กันมานานนักหนา นั่นคือความโหดเหี้ยมอำมหิต ความไม่เห็นค่าของมนุษย์ใดๆ และการกระทำทุกอย่างเพื่อความอยู่รอดของตนและคณะ
มาอย่างเงียบที่สุดและก็ชัดเจนที่สุดราวกับช้อนเงินที่ตกกระทบพื้น ดังเหมือนเอาฆ้องเข้าไปตีตรงกระดูค้อน ทั่ง โกลน ขอบคุณที่ส่งเสียงเงียบมาให้ได้ยินกันทั่ว ขอบคุณที่เต็มไปด้วยโมหะจริต โทสจริต และ โลภจริต ตลอดจนอกุศลมูลต่างๆ อย่างสะพรั่ง ขอบคุณที่ส่งสัญญาณดูหมิ่นมาอย่างรุนแรง เพราะเป็นมือที่มองเห็นและช่วยอย่างยิ่งให้คนฝ่ายนี้ตื่นจากความหลับใหลในเวลาชั่วข้ามคืน ขอบคุณที่ถอดหน้ากากตัวเองออกมาโยนไว้ข้างทาง ขอบคุณที่บอกให้รู้ว่าทำให้ดีก็ทำได้ แต่จะทำเท่านี้ใครจะทำไม? จึงขอตอบสั้นๆ จากใจของประชาชนคนหนึ่งที่ยังรักในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของตัวเองว่า “ได้ยิน”