ใครที่สนใจเงินสกุลใหม่ Cryptocurrency เช่น Bitcoin, Ethereum (Ether), Ripple ฯลฯ ย่อมมีคนมาขอคำอธิบายว่ามันคืออะไร
ผมมักจะเริ่มต้นด้วยการเปรียบเทียบกับ “เงินในเกม” ถ้าอธิบายเด็กรุ่นใหม่ เพราะพวกเขารู้ค่าของมัน รู้ว่ามันมีคนยอมเอาเงินจริงของเขาไปแลกเงินในเกม แม้ Bitcoin เป็นอะไรที่ไกลกว่านั้น เพราะคุณเอา Bitcoin ไปจ่ายที่ร้าน Big Camera ในญี่ปุ่นได้เลย แต่เงินในเกมนั้นทำไม่ได้
Bitcoin คือเงินจริง แต่มันไม่ได้มาจากองค์กรกลางไหน ที่กำหนดว่ามันมีค่า มันมีค่าเพราะ ”คน” ให้ค่ากับมัน
ยุคเริ่มต้น มีคนแค่หลักสิบที่สนใจ และลองรันซอฟต์แวร์ทดสอบ แต่นานวันเข้ามีคนนับล้านคอยให้ค่ามัน ต่อให้มีใครบอกว่ามันไม่มีค่า แต่คนอื่นนับล้านบอก โดยเฉพาะการมีรัฐบาลอย่างญี่ปุ่นยอมรับ และในอนาคตจะมีคนยอมรับมากขึ้นทุกวัน แล้วค่าของมันจะไปอยู่ที่ไหนล่ะครับ
ในแง่นี้มันไม่ต่างกับหุ้นหรือทองคำ แต่ต่างกันหน่อยในแง่ที่หุ้นบริษัท เราสามารถประเมินราคาจริงจากยอดขายปัจจุบันฉายไปยังอนาคตได้ ส่วนทองคำเป็นแร่ที่เอาไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นได้ ถ้าจะทำ
Bitcoin ในทางเทคนิคแบบเข้าใจง่าย
มันใช้คอมพิวเตอร์จำนวนมาก เชื่อมต่อกันเป็นโครงข่ายขนาดใหญ่ เพื่อคอยอัพเดททุก transaction หรือทุกการส่งผ่านเงิน เพื่อป้องกันปัญหา การนำเงินมาใช้สองครั้ง (คุณจ่ายนาย A ไปแล้ว จะเอาไปจ่ายนาย B ไม่ได้อีก)
และยิ่งระบบใหญ่มากพอ จะไม่มีใครคนหนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งสามารถควบคุมโครงข่ายได้
ใครๆ ก็สามารถเป็นส่วนหนึ่งของระบบนี้ได้โดยรันซอฟต์แวร์ Bitcoin Core ปัจจุบันมีข้อมูลราว 150 GB และเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
ส่วนใครอยากจะหาประโยชน์จากระบบ แทนที่พยายามโกงระบบ (ซึ่งทำได้ยากระดับยังไม่มีใครทำได้) คุณสามารถต่อคอมพิวเตอร์แรง ๆ (เน้น GPU) ทำตัวเป็น Miner หรือผู้ที่คอยนำ Transaction มาอัพเดทในระบบ ก็จะได้ค่าตอบแทน
ช่วงถามตอบ Q&A
Q: แล้วมันจะมีค่าได้อย่างไร ถ้าไม่มีใคร Backup
A: คุณเอาเงินบาท THB ไปใช้ที่ญี่ปุ่นก็จะไม่มีใครรับ เพราะ THB ไม่มีความหมายสำหรับคนญี่ปุ่นที่นั่น แต่คุณเอา BTC ไปซื้อของได้เลย ร้านค้าออนไลน์จำนวนมากรับ ค่าของมันอยู่ที่คนเห็นค่า และความสะดวกของมันอยู่ที่ Globally Accept หรือการยอมรับในระดับโลก
Q: ปัจจุบันค่า Transaction แพงมาก ตก 300 บาท แล้วใครจะใช้
A: กรณี BTC ถ้าไม่จำเป็น คนจะไม่ใช้กัน เพราะค่าส่งแพง กรณีนี้เราสามารถนำ BTC ไปแลกเป็นสกุลอื่น เช่น XRP (Ripple) เพื่อส่งเงินหาคนอื่นได้อย่างง่ายดาย ค่าส่งอยู่ที่ 1-5 สตางค์ ในอัตราปัจจุบัน
Q: ตอนนี้มันเป็นฟองสบู่ Bubble
A: ตอนที่มันมีราคา 3000 บาท คนก็บอกว่าเป็นฟองสบู่ ในความเป็นจริงคือฟองเคยแตกไปแล้วหนึ่งรอบ ที่ลดค่าจาก 15,000 บาทเหลือ 7000 บาทก่อนจะใช้เวลาพักใหญ่คืนกลับมา
สมมติว่าถ้าค่ามันไม่ขึ้น คนจะบอกว่ามันไม่มีค่า แต่ค่าขึ้นเรื่อยๆ คนจะบอกว่าฟองสบู่
มันต่างจากฟองสบู่หุ้น เพราะเราสามารถประเมินค่าจริงของบริษัทได้ แต่เงินตรานี้ค่าของมันอยู่ที่ตลาดหรือผู้คนกำหนด สมัยก่อนฟองสบู่แตกได้ จากผู้เล่นรายใหญ่ 2-3 ราย เทขายจำนวนมาก แต่ปัจจุบันคนเยอะกว่าเดิมมาก ดังนั้นมันจะยากที่จะเห็นการเทขายจนเหมือนฟองสบู่แตก แต่การเทขายจำนวนมาก ย่อมมีผลต่อการขึ้นลงของราคาอย่างมีนัยสำคัญ
ผมไม่สามารถบอกได้ว่าเงินจะขึ้นถึงเมื่อไร และจะตกลงมาแค่ไหน ตลาดเป็นผู้กำหนด
แต่ ณ ปัจจุบัน BTC มีราคาสูงมาก ค่าส่งแพงกว่าจะใช้งานจริง ถ้าต้องการใช้งานจริงมองหาเงินสกุลอื่น ส่วน BTC ใช้เก็บมูลค่า อย่างน้อยเงินสกุลนี้จะไม่ Devalue แบบธนบัตรพิมพ์ที่เราใช้กัน
Q: มีคน (Banker) บอกว่ามันเป็นแชร์ลูกโซ่ (Ponzi’s Scheme)
A: เพราะธรรมชาติของมันที่พอมีคนให้ค่ามากขึ้น มูลค่ามันสูงขึ้น และไม่รู้จะสูงขึ้นถึงเมื่อไร และมีคนมาข้องเกี่ยวมากขึ้น มันจึงมีลักษณะคล้าย Ponzi’s Scheme แต่เพราะมันถูกคิดขึ้นมาเพื่อแลกเปลี่ยนมูลค่า ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อให้เราลงทุนโดยมีสัญญาว่าจะให้ผลตอบแทนเท่านั้น เท่านี้
มันจึงไม่ใช่แชร์ลูกโซ่ในมุมมองแบบเดิม ค่ามันสูงขึ้น คนมันมากขึึ้น แต่ไม่มีใครบอกว่าถ้าคุณลงเงินไปแล้วคุณจะได้คืนเท่าไร อันนั้นน่ะ แชร์ลูกโซ่
ทีนี้มาดูมุมธนาคารบ้าง ตอนคุณเอาเงินฝากธนาคาร ธนาคารมีเอกสารให้คุณเซ็นว่าเงินนั้นไม่ใช่ของคุณ คุณมีแต่ตัวเลขที่ปรากฏบนสมุดบัญชี แต่ธนาคารเอาเงินไปหมุน ไปลงทุนอย่างอื่น ธนาคารสัญญาว่าจะให้ดอกเบี้ยต่ำจำนวนหนึ่งกับคุณ และสมัยก่อนคุณไม่มีทางเลือก นอกจากเอาเงินไปใส่ในไห หรือใส่ไว้ใต้เตียงแล้ว คุณยอมให้ธนาคารเก็บเงินให้คุณโดยรู้แก่ใจว่า อัตราเงินเฟ้อนั้นสูงกว่าดอกเบี้ยที่ธนาคารให้ คุณสูญเสียมูลค่าในตัวเงินตามกาลเวลา ส่วนธนาคารเอาเงินไปทำอะไรบ้าง เราไม่รู้
อันนั้นน่ะ มีความเป็นแชร์ลูกโซ่มากกว่า Cryptocurrency เสียอีก
แต่แน่นอนว่า Cryptocurrency นับร้อยสกุล มีจำนวนหนึ่งที่ถูกออกแบบมาเป็นแชร์ลูกโซ่ หรือมีลักษณะที่ตีหัวเข้าบ้าน พอได้เงินแล้วหายไป ดังนั้นเราจึงต้องศึกษาดี ๆ ก่อนจะซื้อเงินสกุลใด ๆ เข้ามา
Q: มองเห็นจุดจบไหม
A: เพราะมันเป็นเงินเข้ารหัส จุดสิ้นสุดคือระบบความปลอดภัยของมันโดน Crack แบบง่ายดาย ปัจจุบันยังไม่มีคนทำได้ แต่คอมพิวเตอร์กำลังแรงสูงในอนาคตนั้นไม่แน่ แต่ก็ยังมีด้าน Bright Side อยู่ คือมันก็สามารถอัพเกรดตัวเองให้ป้องกันปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในอนาคตได้เช่นกัน และถึงบางสกุลจะทำไม่ได้ ก็ยังมีสกุลอื่น ๆ ที่ออกแบบมาเพื่อการต่าง ๆ อีก จุดจบของแต่ละสกุลคงมี แต่ Cryptocurrency คือการยกกระบวนทัศน์ (Paradigm) ของเงิน มันจะไม่มีทางเลิกถูกใช้ ถ้าไม่มีอะไรใหม่ที่ดีกว่าจริง ๆ
Ad: เก็บเงิน Crypto ให้ปลอดภัยสูงสุดด้วย Hardware Wallet ไม่มีใครเอาไปได้ ถ้าไม่มีตัวเครื่อง และไม่มีคุณที่ใส่ PIN Ledger nano s
หากสนใจซื้อเงิน Crypto หรือ Bitcoin bx.in.th