ในสนามเด็กเล่นชุมชนแห่งหนึ่งในนิวซีแลนด์ มีเด็กราว 5-6 คนจับกลุ่มเล่นกันอยู่ เป็นเด็กหลายชาติมาก ซึ่งเป็นเรื่องปกติของที่นี่ และหลายวัยตั้งแต่อนุบาลไปจนถึงช่วงประถมต้น
ผมสังเกตการคุยกัน ก็พอเดาได้ว่าเป็นเด็กย่านนี้ที่มาเล่นกันบ่อย ๆ แต่ผมพาลูกสาวมาที่นี่หลายครั้ง ก็เจอคนไม่ซ้ำกันเลย แม้ว่าจะเป็นของชุมชน บางวันมา 2 ทุ่มกว่า ซึ่งช่วง Summer ฟ้าจะยังสว่างอยู่ คนไม่มีกันแล้ว เพราะส่วนใหญ่เข้าบ้านกันเร็ว
ที่นี่จะมีสนามเด็กเล่นแทบทุกชุมชน เรียกว่าขับรถไปที่ไหน ต้องเห็น และแต่ละที่มักไม่ค่อยธรรมดา คือจะมีอุปกรณ์ที่ดูจริงจังอยู่ และแน่นอนว่าออกแบบได้ปลอดภัยระดับหนึ่ง แม้ว่าในความจริงเราจะไม่เจออุบัติเหตุเลยก็คงไม่ใช่
ผมสังเกตอยู่หลายที ไม่ว่าจะไปที่ไหน คือเด็ก ๆ ที่เล่นกัน ไม่มีการทะเลาะกันแม้แต่นิด ไม่มีแม้แต่จะแหย่เล่นกัน เด็กเล็กจะต่างคนต่างเล่น เด็กโตหน่อยก็จะเล่นกันเป็นกลุ่มๆ
แต่วันนี้ ไม่เหมือนกับทุกครั้ง เด็กกลุ่มนี้คุ้นเคยกันพอควร เล่น Hide & Seek กัน ผมอยู่เกือบชั่วโมงจึงเริ่นเห็นมีประเด็นนิดหน่อย ระหว่างเด็กโตกลาง ๆ กับเด็กเล็ก
เอาจริง ๆ เรื่องนี้ ไม่ใหญ่ในสายตาผม คือไม่มีอะไรเลย ดูเหมือนเด็กโตกลาง ๆ จะวิ่งหนีเด็กเล็กด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง แต่เด็กที่โตสุด อายุน่าจะราว 8-9 ขวบ เริ่มส่งเสียงดัง
“เธอโตกว่าเขา เลิกสนใจเขาเลยในคืนนี้” (สำนวนภาษาอังกฤษ พอแปลไทยมันจะแปร่งๆ)
แน่นอนว่าธรรมชาติเด็ก ไม่ได้สนใจอะไรง่าย ๆ แต่คนโตสุดก็ไม่ยอมหยุด และพูดซ้ำ ๆ เด็กสองคนวิ่งไล่กัน สักพักก็เลิก สำหรับผมมันเรื่องเล็กจริง ๆ แต่สำหรับเด็กโตในกลุ่มนี้ เขาไม่คิดว่านี่คือเรื่องเล็ก
รีบหยุดเรื่องก่อนที่จะกลายเป็นทะเลาะกัน และจะต้องมีใครคนหนึ่งเจ็บช้ำกายและใจ
นี่คือสังคมในแบบที่ผมอยากให้ลูกโตมาจริง ๆ ครับ และที่เขียนเรื่องนี้เกี่ยวตรง ๆ เลยกับกรณีที่รัฐบาลนิวซีแลนด์แบนรัฐประหารในพม่า ไม่ติดต่อ และไม่ให้ผู้นำเข้าประเทศ
จริง ๆ มันมีรายละเอียดอีกเยอะ ในระดับของผู้ใหญ่ในสังคม มันไม่ใช่แค่กรณีเด็ก ๆ เท่านั้น แต่เป็นทุกระดับในสังคม
และถ้าถามผมว่า จะทำยังไงให้เด็กกล้าพูดในสิ่งที่เขาคิด หรือในสิ่งที่เขาเห็นว่าถูกต้อง
เริ่มต้นง่าย ๆ คือรับฟังเขาก่อนครับ