สืบเนื่องมาจาก facebook note ที่พบว่าหลายคนมีปัญหาในการอ่าน เลยขอยกมาแปะไว้ที่นี่อีกทีครับ
หลายครั้งที่ฉันคิดว่า เขาเป็นเด็กที่ ‘พ่อไม่สั่งสอน’ ทำตัวน่ารำคาญ ไม่รู้จักกาละเทศะ กวนตีน และชอบเพ้อเจ้อ ฉันเคยคิดว่าถ้าเขายังทำตัว แบบนี้ เขาคงได้ ‘ตายก่อนโต’ นั่นเป็นเพราะ ‘อคติ’ และความ ‘สองมาตรฐาน’ ของตัวเองโดยแท้ (เพราะว่าเขาไม่ใช่เด็กผู้ช ายที่หน้าตาดี เขาดำ เขาอ้วน เขาพูดจาตรงไปตรงมา เขาไม่ใช่เด็กเรียบร้อย มีสัมมาคาราวะ: น่าเศร้า ที่ฉันก็ติดอยู่ในมายาคติงี่เง่านั้น)
……………………..……………………..……………………..……………………..………………..
เท่าที่จำได้ ฉันไม่เคยได้ทำอะไรดีๆ ให้น้องเลย เวลาเจอกันก็พูดจาประชดประชัน แทบจะไม่ชอบหน้าเด็กคนนี้เลยด้วยซ้ำ แต่เฌอก็ยังวนเวียนช่วยงานพี่ๆ อยู่เสมอ แม้จะไม่ชอบใจในความกวนตีนไม่รู้กาละเทศะของเขา แต่ฉันก็ได้รับความช่วยเหลือ ทำโน่นทำนี่จากน้องชายคนนี้เสมอ ถึงวันนี้ฉันรู้แล้วว่าที่เขาเป็นแบบนั้น เพราะเขาโตเกินอายุ เพราะเขาถูกสอนให้มีความคิดเป็นของตัวเอง เพราะเขาเป็นเด็กชายคนหนึ่งที่ต้องการ ‘พื้นที่’ ของตัวเอง เขามีแบบอย่างคือพี่ๆ ตะกูล ‘สุระ’ ทั้งหลาย (พวกเรามีชื่อนำหน้าว่า สุร ตัวพ่อคือ สุรพงษ์แมนโคตร โคตร ตามด้วย สุรเดี่ยว สุรป่าน สุรวิทย์ สุรมั้ง สุรบอย สุรแจ๊ค สุรกิ๊ สุรจุ๋ม สุรตั๊ก สุรเอกฯลฯ)
‘สุรเฌอ’ เป็นน้องคนสุดท้อง เขาจึงเป็นที่รักและที่ชังของพี่ๆ สุระตะกูล เขาไม่ใช่เด็กเกเร ไม่เคยคิดร้ายกับใคร เขาเป็นเด็กผู้ชายที่กำลังเรียนรู้ ‘ชีวิต’ และที่เขาเป็นแบบนั้น เพราะเขาอยู่ในบรรดาคนที่เชื่อใน ประชาธิปไตยอย่างแท้จริง เขาเชื่อว่าเขามีสิทธิเท่าพี่ๆ คนอื่นในการที่จะคิด จะพูด และนั่นเองที่เรามองว่าเขาไม่รู้กาลเทศะ ฉันเจอหน้าเขาครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2553 เขามาร่วมงานรำลึกผู้เสียชีวิตในการ ‘ขอพื้นที่คืน’ ของรัฐบาล
เขาเป็นคนปืนเอา ถุงมือยางสีขาว สัญลักษณ์ของการหยุดฆ่าประชาชนไปแขวนตรงอนุเสาวรีย์ประชาธิปไตย ก็ยังคงเป็นเขาที่ช่วยงานทุกอย่างโดยไม่เกี่ยง นั่นอาจเป็นส่วนหนึ่งในการเรียนรู้ของเขา
……………………..……………………..……………………..……………………..………………… วันนี้เขาไม่รู้กาละเทศะจริงๆ เขาเข้าไปในพื้นที่อันตรายนั้น และเขาถูก ใครบางคนที่โหดเหี้ยมมาก ยิงจนล้มลง
รอยเลือดจากหัวของเขาเป็นทางยาว ซึ่งสันนิฐานได้ว่าเขาไม่ได้สิ้นใจในทันที เขาคงทรมานมาก ฉันไม่รู้ว่ามันจะรู้สึกอย่างไร หากเรายังหายใจและชีพจรยังเต้นอยู่ แต่หัวเราเละเหมือนแตงโมที่ตกพื้น เขานอนอยู่ตรงนั้นเกือบ 1 ชั่วโมง กว่าหน่วยกู้ภัยจะไปช่วยเอาร่างที่มีลมหายใจรวยรินออกมา เพราะทหารไม่ยอมให้ใครเข้าไปช่วย ยิงใส่ทุกคนที่จะเข้าไปช่วย หน่วยกู้ภัยที่ช่วยเขาออกมาก็เกือบถูกยิงที่แขน หมอบอกว่าเขามาสิ้นใจที่โรงพยาบาล นั่นทำให้ฉันตกใจมากและต้องร้องไห้ออกมา เพราะเป็นเวลานานมากทีเดียวที่เฌอต้องนอนรับรู้ว่าหัวของตัวเองเละเป็นแตงโมตกพื้น ฉันเข้าไปหาเขาที่ห้องดับจิต เห็นเขานอนนิ่ง เปลือกตาหลับไม่สนิท เขาตัวใหญ่ขึ้นเล็กน้อย ลำตัวเริ่มมีสีคล้ำ ที่เท้าของเขามีรอยเลือด มือของเขาเกร็งมาก เหมือนกำลังกำอยู่ด้วยความเครียดแค้นเจ็บปวด ที่สำคัญหัวของเขามีสำลีอุดซับเลือดอยู่ ใช่เขาแน่แล้ว… ฉันบอกตัวเอง ก่อนหน้านี้ฉันเห็นภาพคนตายใส่เสื้อสีฟ้าที่ถูกถ่ายโดยคนที่อยู่บริเวณซอยรางน้ำ รอยเลือดเป็นทางยาว มีหมวกกันน็อกข้างๆ ตอนนั้นฉันยังไม่ยากจะเชื่อว่าเป็นเขา ฉันเคยออกปากชมเขาอย่างลับๆ กับเพื่อนสุระคนหนึ่งตอนที่เขาไปเป็นการ์ดอาสาของพันธมิตร ว่า เขาเป็นเด็กที่น่านับถือคนหนึ่ง ใจเขาทำด้วยอะไรว่ะ ทำไมเด็กอายุ 16 ถึงออกจากบ้านไปนอนกลางถนน ออกไปเป็นการ์ดปกป้องคนอื่นๆ ในที่สุดเขาถูกทำร้ายจนฟันบิ่น และเกือบจะเรียนไม่จบ ม.3 เมื่อวานเขาออกจากบ้านไป “ดู” ประชาธิปไตยบนท้องถนน ไปดูสงความกลางเมือง น่าเศร้าที่กระสุนปืนไม่ดูตาม้าตาเรือ น่าเศร้าที่ประชาธิปไตยแบบไทยๆ ไม่เปิดโอกาสให้เขามีลมหายใจอีกแล้ว ระหว่างรอรับศพ ฉันออกไปหาซื้อเสื้อผ้าให้เขา คิดว่านั่นอาจเป็นสิ่งเดียวและสิ่งสุดท้ายที่ฉันจะทำให้เขาได้ ฉันเลือกซื้อกางเกงยีนส์ เพราะพ่อเขาบอกว่า เฌอชอบใส่กางเกงยืน เลือกเสื้อตัวที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่จะหาได้เพราะตอนนั้นร้านที่อนุเสาวรีย์เปิดขายอยู่ไม่กี่ร้าน ตรงสามเหลี่ยมดินแดงยังยิงกันไม่หยุด เขาได้ “เปลี่ยน” เสื้อผ้าแล้ว แต่เหตุการณ์ยังคงเหมือนเดิม ฉันรออยู่จนเขาพร้อมกลับบ้าน เข้าไปจุดธูปบอกเขา ฉันจับตัวเขาด้วย เขาใส่กางเกงยีนส์ได้พอดีเลย ตอนนี้เขายิ้มมุมปากเล็กน้อย ฉันขออโหสิกรรมและบอกเขาว่า เขาคือ สรุเฌอ เขาเป็น สุระ ที่น่าภูมิใจที่สุด พวกเราภูมิใจในตัวเขา และให้เขาหลับให้สบาย เขา คือ “สุรเฌอ” หรือ น้องเฌอของพ่อเหน่ง ไอ้เหี้ยเฌอของพวกพี่ เขาคือ นายสมาพันธ์ ศรีเทพ อายุ 17 ปี ที่ได้ตายก่อนโต อย่างที่ฉันคิดไว้จริงๆ เพียงเพราะว่าเขาไม่รู้กาละเทศะ เพียงเพราะว่าเขาอยากรู้จักประชาธิปไตย
——–อยากรู้จักประชาธิปไตย ก็ออกไปทำความรู้จัก
——–อยากได้ประชาธิปไตย ก็ออกไปเรียกร้อง ออกไปเอามา